วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

สัมภาษณ์งาน กับ Monroe consulting group ตอนที่2

หลังจากที่ได้นัดแล้ว ผมก็ต้องพยายามทำใจ   จะไปบริษัทนี้ที่ไรตื่นเต้นทุกที่ ขนาดแค่นึกถึงนี่ยังตื่นเต้นเลย  อะไรนักหนา


เอาเถอะวันนี้วันทดลองงานครับ  ครั้งที่สอบ คุณจะได้ทำงานจริงๆ  แต่เป็นงานเบื้องต้นเท่านั้น (ไอ้งานเบื้องต้นของที่นี่ ถ้าเทียบกับ Fischer แล้วก็ถือว่าหนักเลยแหละ) เป็นอย่างไรมาดูกัน

พอช่วงเช้าเข้าไปปุ๊บ M ของแผนกนึงจะมาคุยกับเราว่าเราต้องทำอะไรบ้าง

สิ่งที่ต้องทำคือ BD - Business development มันคืออะไรอ่ะ  ??? มันก็คืองานขายนั่นแหละจ้า  หน้าที่ของเราก็คือเสนอขายบริการของบริษัท  สิ่งที่จะได้ทำก็คือ จะได้ลิสต์ชื่อบริษัทมาประมาณ 20กว่าๆที่ หลังจากนั้นเราก็เข้า Database ของบริษัทไปหาเบอร์ (ถ้าไม่มีก็ต้องหาจากเน็ต) แล้วก็โทรเข้าไปที่บริษัท  เพื่อไปเสนอขายบริการของMonroe บริการหาคนให้งานอ่ะนะ  

สิ่งที่ยากคืออะไร(แต่อันนี้ง่ายสุดแล้ว) ก็คือ โทรเข้าไปเนี่ยเราต้องเจอกับ Operator ก่อน เค้าก็จะถามนู้นนั่นนี่จากไหน ใคร ติดต่อเรื่องอะไร คือจะไม่ให้เข้าไปคุยง่ายๆอ่ะ แต่รอบแรกนี้ก็บอกไปตรงๆแหละว่าเรามาจากทีนี่  โทรเพื่อการนี้ ขอสายคนที่มีอำนาจตัดสินใจด้านนี้   ส่วนมากที่ผมทำก็จะได้ชื่อ Hr Manager/ Tel/ email มา  อีเมลได้มาเพราะทั้งหมดจะของดูโปรไฟล์และบริการของเรานั่นเอง  ส่วนนี้กล้าๆโทรกล้าๆพูดก็จบละ   ผมก็เจอที่ตัดไปเลยก็มีที่นึง แต่ส่วนมากเขาก็จะไม่ได้ว่าอะไรนะกับบริการนี้  (อ้อต้องสอบถามด้วยว่าขณะนี้มีเปิดตำแหน่งอะไร พอจะให้เราช่วยได้ไหม อะไรอย่างนี้)

พักเที่ยงมาก็ลงไปกินข้าวกับพี่เค้า  พี่เค้าเลี้ยง  กินอาหารอีสานอร่อยดี ^^ รู้เลยว่าที่นี่รักกันมาก เฮฮา (แต่เวลาทำงานน่ะเครียด)  Outspoken กันทุกคน(ซึ่งไม่ใช่บุคลิกเราเลย แต่จริงๆมันน่าจะเป็นว่าเราไม่คุ้นชินและไม่มีเรื่องคุยด้วยมากกว่า ด้วยแหละ) และทุกคนอังกฤษดีมาก พูดไว สำเนียงเป๊ะ  พูดบางทีก็ไทยคำอังกฤษคำ  ไทยหมดบ้าง บางทีก็คุยกับเป็นอังกฤษไปเลยบ้าง

กินข้าวเสร็จก็มาถึงตอนบ่าย.....

ภารกิจอันแสนโหดเพราะเราจะได้ทำ....headhunt ของจริงนั่นเอง.....

แต่ที่ผมได้ทำก็เป็นตำแหน่ง Hr officer / sale executive เฉยๆ ทำได้เรื่อยๆ  สิ่งที่ยากก็คือเราต้อง Make up เรื่องขึ้นมาเพื่อที่เราจะได้ชื่อ และเบอร์ของคนที่เราอยากได้นั่นเอง  อย่างของผมต้องการหา HR officer ต้องโทรไปบริษัทต่างๆเพื่อขอเบอร์และชื่อเอชอาร์ที่นั่น  ทำอยู่ประมาณ20 กว่าๆบริษัท  มีทั้งติดต่อไม่ได้ ติดต่อแต่เขากดตัดสาย แล้วก็ส่วนมาก 70-80 เปอร์ก็คือได้ชื่อมา เย้  แต่กว่าจะได้  เหนื่อยจริงๆ  ใครอยากฝึกบ้างก็ลองดู  มโนไม่ว่าจะหางานตำแหน่งนี้  แล้วต้องหาผู้สมัครเอง  คุณก็โทรไปเลยบริษัทเป้าหมาย แน่นอนต้องไปเจอ Operator คุณก็ต้องหว่านล้อมเพื่อที่จะให้เขาส่งสายคุณเข้าไปยังเป้าหมาย ไม่ก็บังเอิญ ให้ชื่อและเบอร์โทรนั้นมา (อาจจะอีเมลด้วยก็ดี)  อย่างผมใช้มุข มาจาก JObsdb พอดี database เราปรับปรุงใหม่เลยขอ HR ที่ดูแลด้าน Job ads ส่วนมากก็จะได้มาไม่ยากลำบาก แต่ถ้าบังเอิญไปเจอคนที่ติดต่อถ้าเจ้าหน้าที่ jobsdb ที่เขารู้จักกันดีก็โครตซวย โดนตัดสายเลย 555 สนุก+ เครียดไปอีกแบบ

หลังจากนั้นก็หา Sale executive แต่ทำไม่นานเพราะใกล้เลิกละ( 5 โมงเย็น  เริ่มตอน 9โมงครึ่ง)  อีกอย่างผมยังงงๆกับชื่อตำแหน่ง นึกว่ามันระดับเดียวกับ Sale manager เลยโม้ ตะล่อม ขอเบอร์ กับขื่ออีเมลไม่ค่อยได้เลย ไม่มีตำแหน่งที่สูงกว่าไปเสนอ(คือตอนนี้ผมไม่รู้ว่าอะไรสูงกว่าเลยพูดไม่ได้ ) ไปอย่างทุลักทุเลมาก  บางบริษัทโทรไปขอยังไม่ยอมให้ชื่อ  บางคนก็ซักๆๆๆ อยู่นั่นแหละจนเรา ตัดสายเลย 5555  ลำบากใจจังกับงานนี้ T_T

เลิกงานแวววว้วววว จาได้ออกจากวงจรนี้ไปหนึ่งวัน  แต่ยังไม่วาย มีสรุปผลอีก สรุปคือก็ทำได้ดีอะนะ แต่.... กึ่งfail เพราะงาน HR officer ที่ผมต้องหา  หาทำไม่ถูก description ของงานไม่ครบเพราะต้องหา 1. hr staff 2. have it knowledge and 3 must be a recruiter เวรรรรรรรรรรรรรรรรรรร  ลืม recruiter ง่าาาาาา  แต่ผมก็บอกไปหาตอนคุยกะอะชื่อ hrที่ดูแลเรื่อง job ads ใน jobsdb นะ มันก็น่าจะเป็น recruiter สิ แต่M ก็บอกว่าบางทีอาจไม่ใช่ แล้วคุณทำแบบนี้ บางทีถ้าเราส่งอีเมลติดต่อไป เราอาจจะไม่ได้ผู้สมัครที่เหมาะสม กลายเป็นว่าที่ทำเป็น สูญเปล่า non sense นั่นเอง  ตอนนั้นถึงบางอ้อเลย T_T  จะทำไงได้ ที่มันครั้งแรกนี่บาง  เค้าก็บอกต่อว่า มีพี่ๆบางคนไม่Happy กับเรา  บางคนก็Happy (อันนี้ไม่รู่จริงอ่ะเปล่า) แล้วเรา(ตัวผม)ก็มีปัญหาด้วย (แต่ไม่บอก ผมเดาว่าภาษาอังกฤษง่อยๆของผมนั่นแหละ ยอมรับ เฮ้อ  อยากพูดเก่งอ่ะ ได้แต่อ่านเขียนฟังแปล เหลือพูดทำไงดีโว้ยยยย  อยากเก่งเหมือนพี่ๆเขาจัง พูดกันไฟแลบ)  แล้วก็ผม Shy  พี่ๆในบริษัท Outspoken มีไรก็พูดทั้งนั้น (อันนี้จริง เพราะผมฟัง ถ้าตำหนิก็พูดตรงๆ บังคับก็พูตรงๆ เพราะงานมันต้องเดิน) แล้วก็พูดมากกันทั้งนั้น  (ในทางที่ดีนะ ไม่ใช่ไม่ดี)  บุคลิกเรามันอาจจะไม่ได้  (กลับมาทบทวน  หรือเราไม่เหมาะกับงานนี้อะ  แต่ถ้าเราไม่เปลี่ยนตัวเอง มันก็จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด  ใครๆก็เรียนรู้และเปลี่ยนได้  เหมือนคนที่ขายไม่เป็น พอได้เรียนรู้ได้ลองทำ มันเป็นเป็นนักขายได้)

อย่างไรก้ตาม เค้าเห็น Potential นะ  ตอนนี้คือยังไม่ Green light บางคนก็ให้ บางคนก็ไม่ให้ คนที่จะตัดสินใจคือ MD ของที่นี่(ซึ่งจะกลับมาสิ้นเดือนนี้) ยังไงก็ลองดูต่อไป  (แต่ใจผมแป้วไปแล้วคร้าบบบบ )  เค้าก็ทดสอบผู้สมัครคนอื่นต่อไป

สิ่งที่อยากบอกคือ ประสบการณ์วันนี้มีค่ามากๆเลย ผมได้ทำให้สิ่งที่เหมือนจะเคยทำ ก็คือโทรติดต่อเนี่ย เคยทำมาบ้าง แต่โทรไปขายโทรไปตะล่อมชื่อคนอ่ะไม่เคย  ผมก็ตีหน้าเฉยๆ โทรไปๆ อะไรจะเกิดก็เกิด ไม่ได้ถึงกัลกลัวว่าจะไม่ได้  แล้วก็ได้เรียนรู้วิธีการของHeadhunter ในเบื้องต้นก็เกือบจะหมด Process (เหลือเสนองานในแดนดิเดต  เสนอแคนดิเดตให้ลูกค้า แล้วปิดจ็อบ เหมือนง่ายแต่ทำยาก  ต้องคุยหลายอย่าง)  อย่างน้อยเราก็ทำได้ละวะ  ถ้าเกิดได้มีโอกาสลองทำทั้งหมด ได้เรียนรู้ ยังไงก็ทำได้แหละ  แต่จะใช้เวลาแค่ไหน จะได้โอกาสรึเปล่าแค่นั้น

(เราใจแป้วกับภาษาอังกฤษแล้วอ่ะ ถ้าพูดไฟแลบนี่จะมั่นไปต่ออยู่ เฮ้อ)

Headhunter จ๋าาาาา รวยจริง แต่เราจะมีวันได้ทำไหม อาจจะในอนาคต ตอนนี้อาจจะต้องปล่อยไปใครจะรู้  ......

ขอบคุณ Monroe และพี่ๆทุกคน  สวยๆหล่อๆ(นิดๆ) แต่น่ารักๆเยอะมาก ^^ ชอบทุกคนเลย

สัมภาษณ์งานกับ Monroe consulting group ตอนที่1

ชื่อบริษัทนี้คุ้นกันบ้างอ้ะเปล่า สำหรับผม มันไม่คุ้นเลย คุ้นพวก Manpower Adecco อะไรพวกนั้น  มันก็คือบริษัท Headhunter นั่นเอง


แต่ๆๆๆๆ ที่นี่เขาHeadhunter แบบเต็มสตรีมมว๊ากกกก ก็hunt ระดับ Manger + ไม่ก็เงินเดือน 70k+ อย่างเดียว(แต่จริงๆก็มี 40-50k บ้าง อาจจะไม่ต่ำกว่านี้ ถ้าบริษัทที่ติดต่อมาไม่ใช่ลูกขาประจำจริงๆ)

ตำแหน่งที่ผมสมัครไปก็คือ Headhunter consulting/executive trainee

ตำแหน่ง trainee อีกแล้ว เค้าต้องสอนเราก่อนเริ่มงานแน่เลย อย่างนี้ต้องลองไปดู


ขั้นตอนการสมัครของที่นี่ ผมว่าอาจจะยุ่งยากหน่อย เพราะ ตอนแรก ต้องส่งใบสมัครไป พร้อม cover letter ซึ่งไม่อยากเขียน และไม่รู้จะเขียนอะไรเล้ย แต่สุดท้ายก็เขียนไป  ใครไม่รู้ก็ลองหาในเน็ตดูว่ามันคืออะไร    หลังจากนั้นพอผ่าน ก็จะมีคำถามมาทางเมลให้เขียนตอบอีก 14-16 คำถาม  ทั้งหมดนี้เป็นภาษาอังกฤษ

พอผ่านเสร็จอีกคราวนี้ก็จะนัดสัมภาษณ์แบบจะๆ และ  วันที่ผมไปก็ช่วงเช้า ที่ช่วงบ่ายไป Fischer นั่นแหละ  แต่เหี้ยตรงนี้ นอนไม่หลับ หลับน้อยอ่ะ  พอไปถึง เราบอก เรา Enthusiastic เขาไม่เชื่อ 5555 (แต่จริงๆเขาคิดว่ามันต้อง Outspoken

สัมภาษณ์ที่นี่จะมี Manager มาสัมภาษณ์ โดยที่นี่จะมี4 ฝ่ายคือ consumer goods/ technology/ finance and banking/ industrial company ซึ่ง M ที่มาสัมภาษณ์ผม มาจาก tech กัน industrial   คนไทยหนึ่งและฝรั่งหนึ่ง

แต่สิ่งที่พบเจอก็คือ..... ภาษาอังกฤษขั้นเทพมากกกกก (รวมทั้งพี่ๆข้างใน เดี๋ยวเจอในบล็อคต่อไป)  คล่องปร๋อสุดๆ อ่ะ คืออยากพูดแบบนั้นได้อ่ะ ผมเป็นสายอ่าน เขียน แปล  ภาษาพูดง่อยๆอ่ะ เจอเข้าไปอึ้งกิมกี่ ประหม่าสุด จนเค้าบอกให้ผ่อนคลาย  ตั้งแต่สัมภาษณ์มา ครั้งนี้เป็นครั้งที่ตื่นเต้นมากที่สุด แบบไม่รู้สาเหตุ จะพูดได้ว่าครั้งก่อนๆ ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรก็คงได้เลย

ภาษาอังกฤษของเราง่อยต่อไป ไม่รู้เค้าจะว่ายังไงไหม  ที่สัมภาษณ์ก็มีแนะนำตัวนิดหน่อย แล้วก็ถามทำไมถึงรู้จักงานนี้ งานนี้คืออะไร บริษัทนี้แตกต่างจากที่อื่นอย่างไร recruiter กับ headhunter ต่างกันยังไง  แล้วก็ถามว่าเรามีประสบการณ์ขายไหม เพราะงานนี้เป็นงานขาย  ดูจากลักษณะแล้วเราเป็นคนเงียบๆ บุคลิกไม่เหมาะเท่าไหร่ ลองขายตัวเองหน่อย(อันนี้ก็ง่อยอีก)  โดยรวมแล้วตื่นเต้นมากถึงมากที่สุด

อ้อก่อนจะได้สัมภาษณ์ เขาจะให้เวลาประมาณชั่วโมงนึงในการตอบคำถาม  คำถามของมอนโรก็มีทั้ง มอนโรตั้งที่ไหน  ปีอะไร  ใครถือหุ้นร่วม มีออฟฟิสกี่ที่อะไรบ้าง มีกี่สาย  คนที่คุณยกย่อง เพราะอะไร  บริษัทที่มีผลประกอบการสูงสุดในไทยคือ กี่ลำดับ  บริษัทที่Forbes ยกให้ขึ้นติดอันดับ(อะไรไม่รู้ ลืมละ)  ประธานาธบดีของไทย  อังกฤษ อเมริกา เยอรมัน (กับอีกสักที) คือใคร    จงแก้ประโยคที่ผิด  เลือกคำที่ใกล้เคียง  คุณยกย่องใครเพราะเหตุใด (สองคน)  เขียนแนะนำตัวเอง ว่าทำไมถึงเหมาะสมกับงานนนี้  ทั้งหมดเป็นอิ้งจ้า  จึงสรุปได้ว่าบริษัทนี่ ไม่ได้อิ้ง ไปไม่รอด (แต่งานจริงๆก็ไทยนั่นแหละ แต่มันต้องใช้อิ้งคุยบ้าง MD ก็เป็นคนอังกฤษด้วย)


สัมภาษณ์เสร็จก็โล่ง พร้อมกับเขาก็จะนัดวันให้มา Trial แบบทั้งวัน O_o (แต่ผมรู้อยู่ก่อนละ )

พอดีว่ามีคนบอกรายละเอียดไว้ใน pantip แล้ว (ข้อมูลเชิงลึกผมมีบ้างแต่บอกไม่ได้)


แต่ก็ประมาณนี้แหละ ว่า....
 1.  เห็นว่าอยู่ที่ตึก k tower ไม่ทราบว่าถ้านั่งรถไปลงแถว mrt เพชรบุรี จะสามารถนั่งวินมอเตอร์ไซค์ต่อไปที่ตึกได้ไหมคะ มันใกล้กันขนาดนั้นเลยไหม
2. อยากทราบเวลาทำงานค่ะ ในประกาศไม่ได้บอกไว้ ไม่ทราบทำงานกี่วันคะ กี่โมงถึงกี่โมงเอ่ย
3. เห็นว่าบริษัทเป็น international บรรยากาศในการทำงานเป็นอย่างไรคะ (เป็นทางการหรือสบายๆ) พนักงานพี่ภาษาอังกฤษระดับเทพกันทุกคนเลยไหมคะ กังวลจังเลย
4. เห็นว่าหลังจากสัมภาษณ์งานแล้วจะมี การประเมินด้วย ใช้เวลาประมาณครึ่งวัน ไม่ทราบการประเมินจะเป็นไปในลักษณะไหนคะ
5. ไม่ทราบบริษัทนี่เน้นเรื่องการขายอะไรด้วยรึเปล่าคะ คือมีการโต้ตอบเมลล์กับคุณ John ที่บอกว่าเป้น MD มีคำถามประมาณว่ามีประสบการณ์การขาย ประสบการณ์ commission ไหม เราเลยงงว่า งาน HR นี่ต้องขายอะไรด้วยหรอคะ
6. สถานที่ทำงานเป็นยังไงคะ เป็นสัดส่วน ห้องๆ หรือแบบรวม

รบกวนด้วยค่ะ หาข้อมูลไม่ค่อยได้เลย ไม่มีคนมาโพสเลยค่ะ

และก็มีมาตอบว่า 
1.  อยู่ตรงข้าม ม.ศ.ว เลยครับ แล้วแต่ว่ามาจากไหน มา bts  หรือ   mrt หรือ airport link แล้วเดินหรือ มอเตอร์ไซค์ต่อก็ได้ครับ
2. วันจันทร์เริม 8.30 เพราะมีประชุมสรุปยอดของอาทิตย์ก่อนกับ MD (John Tolmie) วันอังคาร-ศุกร์เข้า 8.45 
3. ก็ชิวๆครับ มีทั้งหมดสี่ทีม Banking & Finance, FMCG, Industrial, และ Technology งานที่เข้ามาก็จะแบ่งไปตามอินดัสตรี่ของบริษัทลูกข้า ส่วนภาษาอังฤษก็ไม่ได้เทพกันหมดหรอกครับ แต่ก็ดีกันพอสมควรเพราะ MD เป็นชาวต่าวชาติแล้วลูกข้าของเราส่วนใหญ่เป็นบริษัท MNC เลยต้องมีไปคุยกับลูกข้าชาวต่างชาติบ้าง รวมไปถึงงานบางงานลูกข้าก็ระบุมาว่าภาษาอังกฤษ candidate ต้องคล่อง แต่เวลาอยู่ที่ทำงานหรือเวลาไปกินข้าวหรืออะไรก็คุยกันเองเป็นภาษาไทยครับ
4. ประเมินจะใช้เวลาประมาณครึ่งวันครับ ก็จะมีให้นั่งกับ MD และ Manager ทีมต่างๆผลัดกันประเมิน การประเมินนี้คือการรวบรวมข้อมูลจากคนที่เราคุยด้วยให้มากที่สุดและวิธีการพูดคุยทางโทรศัพกับคนแปลกหน้า มีการประเมิน 2-3 อันแต่ผมไม่บอกรายละเอียดดีกว่า เดี๋ยวรู้มากแล้วตอนทำไม่ตื่นเต้นหมดสนุก แนะนำให้เข้ามาแบบกล้าๆอย่าอายอย่ากลัวเวลาคุยก็น่าจะผ่านแล้ว
5. ขายครับ ถ้าคิดดูดีๆ งานนี้เป็นงานเซลล์ แต่ที่ต่างจากงานเซลล์ทั่วไปคือ ปกติแล้วเป็นเซลล์ก็ต้องขายสินค้าให้กับลูกค้าอย่างเดียว แต่งานเราเป็นงานที่ต้องข้ายสินค้าให้กับลูกค้าแล้วยังต้องขายลูกค้าให้กับสินค้า ลูกค้าเราก็คือบริษัทต่างๆที่ต้องการพนักงานและสินค้าที่เรานำมาขายก็คือ candidate ซึ่งเราก็ต้องขายบริษัทลูกค้าและตำแหน่งงานของลูกค้าให้กับ candidate เพราะถึงแม้ candidate จะเก็งหรือตรงกับที่ลูกค้าต้องการแค่ไหน แต่ถ็าตัว candidate เองไม่สนใจในตัวงานหรือบริษัทของลูกค้าเขาก็ไม่ย้ายไป นี่แหละที่ทำให้การเป็นคอนซัลท์ที่มอนโรทั้งสนุกและท้าทายและเป็นจุดที่ทำให้เราต่างจากบริษัทจัดหางานอื่นๆ เพราะที่สำคัญพอๆกับความต้องการของลูกค้าก็คือความต้องการของ candidate ซึ่งคอนซัลท์มอนโรทุกคนจะโดนฝึกให้จับจุดที่เป็นแรงบันดาลหรือความต้องการของ candidate ในการทำงานหรือรวมไปถึงการวางแผนการงานระยะยาว เราจะไม่มีการหา CV มาแล้วส่งไปให้ลูกข้าแบบมั่วๆโดยที่ไม่ได้สืบทุกแง่ก่อนอย่างละเอียด พูดง่ายๆคือก่อนที่จะส่ง profile ไปให้ลูกค้าดู เราต้องได้คุย เจอหน้า และรู้จักกับ candidate แต่ละคนดีพอจนกระทั่งเรียกว่าสนิทเลยก็ได้
ส่วนเรื่องของตัว commission ก็ได้ตามความสามารถของคอนสัลท์แต่ละคน มีตั้งแต่ 0 จนถึงแสนสองแสนต่อเดือน
6. ส่วนเรื่องสถานที่ เป็นห้องใหญ่นั่งรวมกันแต่จะแยกเป็น 4 โต๊ะยาวๆ โต๊ะละ 1 Division

หวังว่าเคลียร์ขึ้นนะครับ ถ้าสงสัยหรือมีคำถามอะไรหรือสนใจจะสมัค ติดต่อผมได้ที่ nanthit@monroeconsulting.co.th หรือโทรเข้ามาหาผมได้ที่ 02 664 4014 ผมชื่อ Bob


จากกระทูกนี้ http://pantip.com/topic/30705525  ครับ  

สัมภาษณ์งานกับ Fischer&Partner

อะไรนะ บริษัทRecruitment Agency อยู่ดีๆก็ติดต่อมาขอโปรไฟล์ที่ลงไว้ใน Jobsdb แล้วมันทำอะไรหว่า ผมก็เข้าไปดู  Recruitment consultant มันทำอะไรหว่า ก็กดๆคลิกๆตามไปดู อ้าวมีรุ่นพี่คณะเราทำด้วยแหะ ได้โอกาส โทรถามซะเลย

สรุปแล้วมันก็คืองานเหมือน Pa&Ca/ Personnel consultant / Jmax นั่นแหละ ก็คือหาคนนั่นแหละ แต่ที่นี่เขามีจุดต่างนะ เออ


จุดต่างที่นี่คือไรอะ มันก็คือ มันเป็นบริษัทผสม Headhunter นั่นเอง ก็คือหาทั้งระดับ Entry level ระดับประสบการณ์ศูนย์ เลเวลศูนย์แบบที่ผมหาเนี่ย จนไปถึง Manager level เลย (แต่จุดต่างหน่อยนึงกับ Headhunter เดี๋ยวไปบอกในบทความต่อไป)  ไอ้พวกpa&ca อะไรที่ผมไปหามาอ่ะมันก็น่าจะมีระดับแมเนเจอร์มั้งไม่มั่นใจ  แต่ในความรู้สึกแล้วรู้สึกว่ามันต่าง

หลัวจากสัมภาษณ์แล้วก็จะประจักษ์ได้ว่าบริษัทนี้ไม่มีการสต็อคผู้สมัครจ้า (เชิญอ่านบทความแรก มันสต็อคช้านนน เสียทั้งเงินทั้งเวลาไป น่ารำคาญ)  ก็คือจะเรียกผู้สมัครมาสัมภาษณ์ก็ต่อเมื่อมีงานมา และทางบริษัทสกรีนโปรไฟล์แล้วเท่านั้น  คนที่มารับรองไม่เสียเที่ยว (ไปใช้บริหารได้เลยน้ากับที่นี่ อิอิ ผมเชียร์เต็มที่ ไปแล้วได้งานแน่นอน)


แล้วผมมาทำอะไรที่นี่ละ ก็มาสัมภาษณ์งานแหละ แต่สัมภาษณ์งานของที่นี่เอง  ซึ่งสิ่งที่ต้องทำเลยก็คือกรอกประวัติหน้าเดียว ง่ายๆนิดเดียวจริงๆ เพราะรายละเอียดที่เราจะโฒ้ ก็คงดูจากเรซูเม่เราไปแล้ว  ต่อมาก็คือทำแบบฝึกหัดพวกวัดเชาวน์อะไรไป มีเครื่องคิดเลขให้(แต่ผมคิดเอง ห้าๆๆๆ)

สัมภาษณ์ของที่นี่เป็นแบบตัวต่อตัว   โดยคนที่สัมภาษณ์ผมก็คือหัวหน้าทีมรีครูดทีมนึงนั่นเอง (ที่นี่มีสามทีมอ่ะจ้าาา)   พี่เค้าใจดีมาก(ผู้หญิง) หน้าตาอาจจะดูดุ แต่จริงๆอารมณ์ดี พอดีว่าผมเข้ากับผู้ใหญ่ได้ (อาจจะดีกว่าคนวัยรุ่นพี่ด้วย) ก็เลยปกติไม่มีปัญหา คำถามที่ถามก็มีแนะนำตัวนั่นแหละ แล้วก็ทำไมถึงทำงานนี้ รู้จักงานนี้ยังไง  งานนี้มีลักษณะยังไง  คิดว่าเครียดไหม (ไม่เครียดเท่าไหร่ครับ  พี่เขา: มันโครตเครียดเลยน้อง) คิดว่าทำได้ไหม  นอกนั้นก็คุยกับสัพเพเหระ  พี่เค้าก็เล่ารายละเอียดงานว่าเป็นยังไง อย่างที่เราเข้าใจและมีอย่างอื่นบ้าง  โดยรวมประทับใจดี

อีกคนเป็นพี่ผู้ชาย มาสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษก็มีแนะนำตัว  ถามความคิดเห็นอะไรนิดๆหน่อยๆ  เรื่องส่วนตัวตอบง่ายๆ(ง่ายกว่า Kito แน่นอน) เหมือนถามจากประสบการณ์เรานั่นแหละ ไม่ต้อง Predict อะไรไปไกล  แล้วก็คุยเล่นกันเฉยๆ

จบไม่มีอะไร แต่ประทับใจในความเรียบง่ายและเป็นกันเอง เพราะช่วงที่ผมสัมภาษณ์นั้นเป็นช่วงบ่าย   ช่วงเช้าผมเจอศึกหนักมาก่อนแล้ว  จะเป็นอะไร  ติดตามบล็อคหน้านะคร้าบบบบ

ประสบการณ์สัมภาษณ์งานกับ STM Siam toyota manufacturing

ว๊ากกกกสายแล้ว ไปบางนาก็เลท  โตโยต้าที่นี่ ดี๊ดี เขามีรถตู้รับส่งด้วยอะ ไม่ต้องไปเอง ถ้าไปเองก็ต้องนั่งรถไปนิคมอุตสาหรรมอมตนครเอง ซึ่งผมไม่รู้เส้นทางเลย

วันนั้นไปสัมภาษณ์กัน 5 คน จาก มธ และ ฬ แค่แน่ เลยสรุปเอาเองว่ามัน "ล็อค" มหาลัยแน่ๆเลย แต่จริงๆอาจจะไม่ใช่ก็ได้  อาจจะมีล็อตสัมภาษณ์อื่น


ไปสัมภาษณ์ ก็ต้องรอทีละคน ระหว่างนั้นเราก็ต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวเยอะแยะมากมายและใหญ่มาก เพราะมันเป็นกระดาษ A3  ตำแหน่งที่ผมสมัครก็คือ HRD นั่นเอง

ในห้องสัมภาษณ์ของที่นี่ มีสามคนครับ บวกับพี่ที่พาเราเข้ามาก้เป็น 4 คน แต่คนที่จะถามเราคือ Hr manager ที่เหลืออาจจะถามบ้าง  เพื่อนผมที่ไปมีให้เต้นด้วยเพราะมันเคยทำกองสันมาก่อน  คำถามแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แต่ที่เจอคล้ายๆกัน นอกจากเข้าไปแล้วแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ  ก็คือ HRD คืออะไรในความคิดคุณ  ผมก็เจอครับ(บางคนไม่เจอ) แถมเจอเป็นภาษาอังกฤษด้วยเพราะจบเอกนี้มา  และเสือกไปบอกว่าชอบ HRD HRM ก็เลยเจอให้อธิบายว่ามันแตกต่างกันอย่างไร  ส่วนคำถามที่เหลือก็ รู้จักHR ได้ยังไง ทำไมถึงสนใจ ที่พักไกลไหม ย้ายได้รึเปล่า  และคำถามส่วนใหญ่จะมีจากใบข้อมูลที่เรากรอกไปแล้วเขาสงสัย เช่น กิจกรรมมหาลัย  เป็นต้น ซึ่งก็แทบไม่ต้องเตรียมป่ะ ก็กรอกไปแล้วหนิ ขยายความเฉยๆ  เหมือนเขาดูบุคลิกวิธีตอบของเรามากกว่า   ความซวยของผมมันอยู่ตรงนี้  Manager ถามว่าชอบไม่ชอบงานอะไร เราก็ตอบแบบโง่ๆ(ความจริงอันแสนโหดร้าย) ว่าไม่ชอบงานกลางแจ้งเพราะเป็นคนเหงื่อออกมาก  เจอจี้เบยยยย ว่าเนี่ยงานเนี่ยมันต้องทำในโรงงานด้วยอย่างนี้เหงื่อก็ออกเยอะสิ จะทำได้หรอ  เวรรรรรรแล้ววววววว แต่ผมก็แถจนผ่านมาแล้วนั่นแหละ  คำถามเด็ดอีกคำถามนึงคือ ให้บอกสิ่งที่เสียดาย และอยากกลับไปแก้  ผมเจอแค่อย่างเดียว แต่ผู้สมัครอีกคนเจอ ให้บอก 10 ข้อ  บานเลยยยย- -"  อ้อ มีถามข้อดีข้อเสียด้วย  รู้สึก Siam Kito ก็มีนะในรอบแรก ผมลืมบอกไป


สัมภาษณ์เสร็จพี่เขาก็ออกมาบอกว่าจะแจ้งอีกทีตอนไหน แล้วก็ให้นั่งรถตู้กลับบ้าน

ในSTM เวลาเดินข้ามถนนต้องทำสัญญาณอะไรด้วยนี่แหละ ชี้ซ้ายชี้ขวา ชี้ตรง แล้วค่อยเดินเป็น เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเลยทีเดียว ชอบๆ

อยากได้งานนี้ไหม อยากได้อยู่ ลองลงมาจาก Siam Kito ซึ่งผมก็ชวดไปแล้วก็ต้องรอลุ้นตำแหน่งนี้ต่อไป

(แต่ก็ไม่อยากทำHRDเลย อยากทำ HRM มากกว่า แต่ที่นี่ดี เพราะจะมีการ rotate ไปเรื่อยๆ ไม่เบื่อตายแน่นอน ^O^ )

สัมภาษณ์งานกับ Siam Kito ตำแหน่ง Management Trainee ตอนที่2

ผ่านสัมภาษณ์รอบแรกมาแล้ว รอบสองก็ต่อเวลา(วันถัดมา)

รอบนี้เป็นรอบfinal คนสัมภาษณ์มีสามคน แต่เป็น Manager คนก่อน/ MD สาขาไทย/ ผู้บริหารจากญี่ปุ่น

จริงๆแล้วต้องเป็นผู้บริหารจากญี่ปุ่นถามเราเท่านั้น ถ้าไม่มีอะไรมาก

ใช้ภาษาอังกฤษคุยแหละ  ภาษาเขาก็ไม่ได้ดีอะไรมาก พอคุยกันรู้เรื่อง  เริ่มมาก็แนะนำตัว  ทำไมถึงสนใจงานนี้  บริษัทนี้เป็นบริษัทญี่ปุ่นคุณจะทำอย่างไร เพราะต้องใช้ภาษาญี่ปุ่น  คุณจะใช้ภาษาอังกฤษของคุณอย่างไร(จบมาจากเอกนี้) หากมีเงิน 100 ล้านดอล จะเอาไปทำอะไร 1000ล้านดอลจะเอาไปทำอะไร  ในอนาคต อีกห้าปีข้างหน้าจะทำอะไรอยู่ สิ่งใดใน5 ปีนี้เสียใจและอยากกลับไปแก้ไขมากที่สุด ภายใน2 ปีนี้อะไรที่คุณภูมิใจมากที่สุด

นอกนั้นก็มีคำถามประปรายจาก MD/Manager อาจจะถามเป็นไทยไม่ก็อังกฤษ แต่เราต้องตอบเป็นอังกฤษเท่านั้น ก็คือ ทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง  อะไรพวกนี้ แล้วที่เหลือก็คำถามทั่วไป เหมือนคุยเล่นๆ สุดท้ายก็แบบเดิม  มีอะไรอยากถามไหม(เป็นทุกที่)


พอเดินออกมาก็มาคุยกับManager นั่นแหละ พอดีครั้งก่อนคุยด้วย ก็ถูกคอ เค้าก็บอก จะได้เพราะตอบแบบมีกึ๋น(มีคนนึง รุ่นที่หนึ่ง ได้ไปทั้งๆที่ญี่ปุ่น อังกฤษก็ไม่ได้เลย)  แต่พอประกาศผล  สรุปผมไม่ได้ แงงงงง เสียใจ ผมจะสรุแได้ว่า เขาคงเอาแต่พวกจบวิศวะล่ะมั้ง ไม่ก็อาจจะเป็ฯสายการเงินอะไรงี้  เพราะว่าบริษัทนี้ทำเกี่ยวกับรอก เครน อุปกรณ์ในโรงงาน  เรื่องภาษาเขาจะส่ง Trainee ทุกคนไปเรียนอยู่แล้ว คงไม่แคร์เท่าไหร่


เสียดายมากๆกับที่นี่  มั่นใจก็ต้องได้ สุดท้ายก็จากไป เล่นเอาความมั่นใจหล่นฮวบไปเลย T_T

สัมภาษณ์งานกับ Siam Kito ตำแหน่ง Management Trainee ตอนที่1

บริษัทอะไรก็ไม่รู้ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ตำแหน่งชอบมากๆ ดูก้าวหน้าสูง ก็เลยสมัครไป  ผ่านใครล่ะ แน่นอน  ผ่านJmax นั่นเลย  บริการรวดเร็วทันใจ  ในบล็อคก่อนที่นำเสนอไปแล้ว

Siam Kito ขั้นตอนอะไรบ้าง

วันแรกที่เข้าไปเนี่ย เขาก็จะให้ไปกรอกข้อมู,ส่วนตัวของเราลงบนโน๊ตบุ๊คของเขา  หลังจากนั้นก็ให้เราดูวิดิโอแนะนำบริษัท เป็นภาษาอังกฤษ ประมาณ สามสิบนาที แล้วก็นั่งรอ จนได้เข้าไปสัมภาษณ์ในวันนั้นแหละ

สัมภาษณ์นานไหม  สำหรับผม ประมาณชั่วโมงกว่าๆ  คนสัมภาษณ์สามคน เป็น manager คนนึง trainee รุ่นพี่(คือรุ่น1 อะ ผมสมัครรุ่น2 ) คนนึง แล้วก็ใครอีกคนไม่รู้และก็ดูภูมิฐาน คำถามถามไม่ยาก เริ่มจาก แนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษก่อน ก็พูดไป หลังจากนั้น เนื่องจากผมจบอิ้งมามั้งเขาก็เลยยิงคำถามเป็นภาษาอังกฤษมาอีกสองสามคำถาม  ว่าทำไมสนใจตำแหน่งนี้  มีประสบการณ์ทำอะไรมาบ้าง กิจกรรมในมหาวิทยาลัยคืออะไร  (ซึ่งผมไม่มี แต่ก็แถประสบการณ์ด้านอื่นที่พอจะมีบ้างอะนะ)  หลังจากนั้นก็คุยไทยกันเลย  ตั้งแต่ บ้านอยู่ไหน มาทำงานได้ไหม  บริษัทของเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ทราบว่าสมัครที่อื่นอยู่ไหม  (ตอนนั้นมีมีโตโยต้าก็บอกไป) เขาก็แซวว่าแบบนี้บริษัทเขาคงสู้ไม่ได้ แต่ผมน่ะหรออยากได้ที่นี่มากว่าอีกเลยแสดงจุดยืนไปเลยว่า ที่นี่แน่นอน  แล้วเขาก็บอกงานนี้ต้องย้ายไปนั่นไปนี่ทั้งที่ทำงาน(ประเทศไทยมีสี่ที่) หรือฝ่ายต่างๆในเวลาสองปี ได้เรียนภาษาญี่ปุ่น(ซึ่งอยากได้มากๆ ) โดยรวมๆแล้วคำถามไม่ยากเลย เพียงแต่เขาจะดูวิธีการตอบเรา ก็ตอบแบบมั่นใจแล้วกัน

สิ่งที่ที่นี่ให้คือ ประสบการณืสัมภาษณ์งาน เพราะตอนท้ายจะมีฟีดแบคบอกว่าเราขาดอะไร สำหรับผม โดนสี่ข้อ หนึ่ง วิธีนั่งผิด เวลานั่งเราต้องนั่งโดยวางมือไว้บนโต๊ะ (กรุณาไปดูวิธีนั่งสัมภาษณ์งาน) วันนี้ผมลืมตัวอะ เวลานั่งก็นั่งนิ่งๆ พอดีว่าผมส่ายตัวไปส่ายตัวมา มันดูเหมือนไม่มั่นใจอ่ะ(ก็มันสบายอ่ะ)  ข้อสอง เวลาสัมภาษณ์ให้มองในระดับสายตาของผู้สัมภาษณ์  คือผมก็มองนะแต่เวลาผมคิด ผมจะหันหัวนิดๆเหมือนคนคิดอ่ะแล้วก็มาสบตาใหม่ ซึ่งมันผิดสำหรับที่นี่ เพราะเราต้องมองระดับสายตาตลอดเวลาแม้จะคิดอยู่ก็ตาม = =" (ฝึกกันได้ บุคลิกจะได้ดี) สาม เครื่องประดับที่ใส่ทำให้ดูเหมือนเด็ก  พอดีว่าตอนนั้นผมในริสแบนด์อ่ะ ใครที่ใส่ก็เอาออกซะนะถ้าไปสัมภาษณ์งาน ไม่งั้นก็ต้องเอาแขนเสื้อคลุมปิดไว้นั่นเอง ง่ายๆแค่นี้แหละ  สี่ สุดท้าย ชุดที่ใส่ไม่เหมาะสม  ที่ผมใช่ไปคือเชิร์ต  อ้าวทำไมผิดล่ะ สัมภาษณ์ที่ไหนก้ใส่เชิร์ตให้เหมือนพนักงานออฟฟิส จะดูเป็นโปรเฟสชั่นนึล  555 แต่ที่นี่อด เพราะตำแหน่งที่ผมมาสมัคร มันเป็นตำแหน่งของเด็กจบใหม่เท่านั้น  เพราะฉะนั้นต้องใส่ชุดนักศึกษามาาาาาาา  บทเรียนครั้งนี้สอนให้รู้ว่า จะไปสัมภาษณ์ที่ไหน ถ้าไม่แน่ใจ ก็ถามเขาเถอะว่าใส่ชุดอะไร

เสร็จก็กลับหอ  สองทุ่มก็มีSMS ส่งมา คุณผ่านการสัมภาษณ์แล้ว เย้

สัมภาษณ์งานกับ Jmax

ขอออกตัวเลยว่าอาจจะอวยที่นี่ เพราะชอบมากจริงๆ

Jmax ก็คือ Jmax recruitment  หางานให้บริษัทญี่ปุ่นอีกนั่นแหละ

ที่สิ่งที่แตกต่างคือบริการที่ได้รับนั่นเอง  ผมไม่ทราบหรอกว่าที่นี่เขาตุนเสบียงเหมือน pa&ca personnel consultant manpower ที่ผมเขียนไปในบล็อคที่แล้วรึเปล่า  แต่ที่ผมประทับใจคือ เขาติดต่อในงานที่เราอยากได้เลย  และเรียกสัมภาษณ์เราเพื่อให้รายละเอียด และดูบุคลิกของเราก่อนส่งตัว 

ซึ่งประสบการ์นี้มันต่างราวฟ้ากับเหวกับอีกที่  ที่รอสิบชาติ(ตอนที่ผมเขียนก็จะเดือนละ) ก็ไม่ติดต่อมาอีกอย่างที่ประทับใจคือ ประทับใจพี่ต้า พี่รีครูดของที่นี่นั่นเอง เพราะนอกจากส่งตัวเราไปยังบริษัทลูกค้าแล้วยังโทรติดต่ออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่างจะเป็นก่อนไปสัมภาษณ์  วันสัมภาษณ์รอบแรกก่อนเข้าห้อง  หลังสัมภาษณ์เสร็จของรอบแรก  หลังสัมภาษณ์เสร็จของรอบไฟนอล(รอบสอง)  และเท่าที่มีตอนนี้คือ  โทรมาสอบถามผลสัมภาษณ์

ซึ่งมันทำให้เรารับรู้ได้ว่าเค้าตามงานให้เราจริงๆ และพร้อมที่จะให้รายละเอียดที่เราต้องการ  บริการอย่างนี้จำเป็นมากๆ จริงๆแล้วถ้าผมได้งานจากบริษัทที่ไปสัมภาษณ์ด้วยนะ  ผมจะมอบของอุปการะคุณกับพี่ ที่เขาอุตส่าห์หาตำแหน่งนั้นมาให้ได้เลย เพราะผมอยากได้มากๆๆๆ แต่สุดท้ายก็จากไป T_T

กระบวนการของที่นี่คืออะไร เผื่อยังไม่เคลียร์  ก็คือเขาโพสต์งาน เราสมัคร เขาก็ติดต่อให้เราไปส่งเอกสาร และดูตัวดูบุคลิก พอดูเสร็จเขาก็ให้รายละเอียดของบริษัทเจ้าของงานที่เราไปสมัคร แลัส่งตัวเราไปสัมภาษณ์ ก็แค่นั้นแหละ แต่มันเร็วมาก  คือไปที่บริษัทก็ได้รายละเอียดงาน และนัดสัมภาษณ์เลย ไม่มีการดองข้อมูลอะไรทั้งสิ้น

ปล จากประสบการณ์ผมเจอแบบนี้มานะ